Research

เมื่อดีไซน์ไม่ใช่แค่เรื่องสวย แต่คือพลังของการเปลี่ยนแปลงโลก

       ทุกวันที่ 22 เมษายน โลกทั้งใบจะหยุดคิดเรื่องเดิม ๆ แล้วหันมาโฟกัสกับ "วันคุ้มครองโลก" (Earth Day) วันที่เตือนใจให้เราหันกลับมาดูแลบ้านหลังใหญ่ที่เราอยู่ร่วมกัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “สิ่งแวดล้อม” แต่เป็นเรื่องของ “อนาคต” ที่เรากำลังสร้างไปด้วยกัน

       ในโอกาสพิเศษนี้ เราชวนทุกคนมาพูดคุยกับ ผศ.ปราณิศา บุญค้ำ ภูมิสถาปนิกและอาจารย์ผู้เชื่อมั่นว่าการออกแบบไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่คือเครื่องมือสำคัญที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในสังคมและสิ่งแวดล้อมได้จริง ภายใต้แนวคิด “เมื่อดีไซน์ไม่ใช่แค่เรื่องสวย แต่คือพลังของการเปลี่ยนแปลงโลก”

มาร่วมสำรวจมุมมองและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ไปพร้อมกันในวันแห่งการดูแลโลกของเรากัน

 

 

"พลังของเรา" ในฐานะสถาปนิกหมายถึงอะไรสำหรับคุณ?

       “พลังของสถาปนิก” ที่ส่งผลโดยตรงต่อโลก ก็คือ “เราคือผู้ออกแบบสภาพแวดล้อมสรรค์สร้าง” พูดง่าย ๆ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมบนโลกใบนี้เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของ “มนุษย์” ล้วนอยู่ภายใต้งานของสถาปนิกทั้งสิ้น ตั้งแต่การเลือกว่าเมืองจะตั้งอยู่ตรงไหน ถนนหนทางจะสร้างตรงไหน แหล่งน้ำแหล่งอาหาร(เกษตร)จะอยู่ที่ไหน เมืองหน้าตาเป็นยังไง มีตึกหนาแน่น สูงต่ำแค่ไหน กว้างขวางแผ่ออกไปขนาดไหน สวนสาธารณะ แหล่งท่องเที่ยว แหล่งอนุรักษ์ต่าง ๆ จะอยู่ตรงไหน มีขอบเขตแค่ไหน และลงรายละเอียดถึงรูปแบบอาคารสิ่งก่อสร้าง สวน โรงงาน โรงบำบัดของเสีย วัสดุที่เลือกใช้ในการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ จะใช้อะไร ต้นไม้ที่เอามาปลูกในเมืองจะเอามาจากไหน ไปขุดจากป่ามาหรือเปล่า เป็นต้น  

       ดังนั้น ถ้าเราใช้ “พลังของเรา” อย่างผิด ๆ คือ เสนอสร้างอะไรที่มันใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย สร้างเมืองที่แผ่ขยายทางราบไม่มีที่สิ้นสุด หรือเลือกวัสดุที่ส่งผลเสียระยะยาว สร้างมลภาวะต่อโลก ตั้งแต่การไประเบิดภูเขา ใช้วัสดุสังเคราะห์ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีมากมาย หรือดีเทลการก่อสร้างที่ไม่คงทนถาวร สิ้นเปลือง สร้างขยะจากการก่อสร้างมาก หรือสร้างสิ่งที่ใช้เสร็จแล้วกำจัดทำลายไม่ได้ไปอีกเป็นร้อยพันปี เหล่านี้ย่อมเป็นพลังทำลายล้างโลกได้อย่างง่ายดาย 

       ในทางกลับกัน ถ้าเราใช้พลังของเรา สร้างสิ่งที่ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร คิดถึง life-cycle ของวัสดุสิ่งก่อสร้างทุกอย่าง สร้างเมืองที่รบกวน greenfield น้อยที่สุด เลือกใช้ต้นไม้ที่ไม่ทำลายระบบนิเวศพื้นถิ่น และไม่ต้องไปหาขุดต้นใหญ่ยักษ์มาจากป่าหรือท้องนา ฯลฯ เมืองมนุษย์ที่เราสร้างเพื่ออยู่อาศัย ก็จะทำลายโลกนี้น้อยหน่อย แค่เท่าที่จำเป็นจริง ๆ และยังอยู่ในสมดุลที่ธรรมชาติจะฟื้นตัวได้

 

การออกแบบสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรมสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้งานให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้อย่างไร?

       ทำได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงง่าย ๆ ก็คือ เราสามารถออกแบบองค์ประกอบของอาคาร สวน ภูมิทัศน์ ที่ส่งเสริมให้ความรู้กับคนที่ใช้พื้นที่นั้น ได้เข้าใจประเด็นปัญหา การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือการใช้ชีวิตทำกิจกรรมที่รักษาสิ่งแวดล้อม เช่น เมื่อเราเลือกใช้วัสดุรีไซเคิล หรือเทคโนโลยี green building ต่าง ๆ รวมถึงการใช้พืชพรรณพื้นถิ่นเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ ฯลฯ สิ่งดี ๆ ที่เราออกแบบไว้นั้น ควรได้รับการบอกเล่า ผ่านป้ายข้อมูล สื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ทั้งแบบที่เป็น on site ตรงนั้นเลย หรือเป็นแบบ online/ digital/ AI อะไรก็แล้วแต่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เราสามารถออกแบบการสื่อข้อมูลเหล่านี้ให้น่าสนใจ ดึงดูด หรืออยู่ในจุดที่ผู้คน “ต้องเห็น” อาจจะประกอบอยู่กับองค์ประกอบอาคาร สวน เช่น บันได ผนัง พื้น หรือในรูปแบบนิทรรศการจริง ๆ เลยก็ได้ 

     ในทางอ้อมการที่เราออกแบบอาคารหรือพื้นที่ภายนอกอาคารโดยใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมธรรมชาติให้มากที่สุด ให้คนได้มีภาวะน่าสบายและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้สะดวก โดยไม่ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีมากจนเกินไป เช่น อาคารที่มีการถ่ายเทของอากาศ ลม และแสงธรรมชาติ แทนการใช้แอร์ตลอดเวลาแม้ในฤดูที่อากาศไม่ร้อนมาก หรือต้องเปิดไฟตลอดเวลาแม้ในช่วงกลางวัน หรือ การสร้างพื้นที่ที่ร่มเย็นภายนอกอาคาร อาจจะจากต้นไม้ หรือแหล่งน้ำ หรือวัสดุที่ไม่อมความร้อน ทำให้คนอยู่ภายนอกแล้วสบาย ๆ ได้หลายสถานการณ์ ไม่ใช่อยู่ข้างนอกได้เฉพาะตอนเช้ามืดและหลังหกโมงเย็น หรือสร้างกิจกรรมนันทนาการ ความรื่นรมย์จากสภาพธรรมชาติบางอย่าง เช่น สระน้ำ น้ำตกกึ่งธรรมชาติที่สวยงาม มีดอกไม้ใบหญ้า ปลา แมลง ให้เดินดู นั่งดู เอามือจุ่มน้ำ เท้าแกว่งในน้ำ นั่งฟังเสียงน้ำไหลได้อย่างเย็นใจ ลงไปพายเรือเล่นในบึงน้ำ เล่นน้ำพุในวันที่อากาศร้อน หรือปลูกผักปลูกดอกไม้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ เป็นต้น เหล่านี้ คือการ “ฝึกผู้คน” ให้ชินกับการอยู่ได้โดยไม่ต้องสร้าง man-made structure อะไรมากมาย พูดง่าย ๆ คือ ให้คนเมืองสามารถอยู่กับธรรมชาติอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น และเมื่อผู้คนมีความสุขกับสภาพธรรมชาติในเมืองได้ เขาก็ย่อมจะเป็นประโยชน์และอยากจะรักษามันไว้ รวมทั้งเขาจะเห็นตัวอย่างของสถานที่นั้นว่า เออ...ที่นี่ไม่เห็นต้องมีแอร์ก็สบายได้ ทำไมบ้านเราไม่สร้างอย่างนั้นบ้างล่ะ? … อย่างนี้เป็นต้น

 

(อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี - รูปภาพจาก: Landprocess)

 

ในยุคที่เราต้องรับมือทั้ง Climate Crisis และ Urban Growth สถาปนิกควรใช้ ‘พลัง’ ของตนอย่างไรให้เกิดผลต่อโลกอย่างแท้จริง?

    สถาปนิกทุกสาขาควรตระหนักว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการออกแบบที่ยั่งยืน” ขยายความก็คือ แนวคิด green architecture/ passive design/ renewable energy/ recycle materials/ sustainable urbanism/ resilient city/ landscape infrastructure/ landscape ecology รวมไปถึงการคิด life-cycle ของวัสดุ และ carbon footprint ของการพัฒนาโครงการ เหล่านี้ไม่ใช่ทางเลือก หรือแค่ concept ที่บางโครงการจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ใช่แค่จุดขาย แต่มันคือสิ่งที่สถาปนิกทุกคนต้องทำให้เต็มที่แล้ว เพราะนี่คือพลังอันแท้จริงของเราอย่างที่ตอบไปข้อแรก เราต้องใช้มันอย่างถูกต้อง และนี่คือทิศทางที่ถูกต้อง ณ สถานการณ์วิกฤตของโลกตอนนี้

(อาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ 3 (SC3) - รูปภาพจาก: https://thethaiger.com/th/news/569170/)

 

โครงการ TDS Green Office ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มธ. ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบใดในระดับปัจเจกและองค์กร?

       ที่ชัดเจนและเห็นผลแล้ว ก็คือในระดับองค์กร ทำให้ทุกคนทั้งในและนอกองค์กรได้เห็นว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมคือสิ่งสำคัญมากขนาดที่องค์กรจะต้องนำมาเป็นนโยบาย ซึ่งมันก็จะเป็นหนึ่งในกรอบกลยุทธ์ วิธีการทำงานและการปฏิบัติต่าง ๆ ภายในองค์กร และยังเป็นตัวอย่างสำหรับคนภายนอก หรือองค์กรอื่น ๆ ที่อาจยังไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นภารกิจหลัก และหากองค์กรของเราสามารถพัฒนาต่อยอดแนวปฏิบัติต่าง ๆ ให้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ เราก็จะกลายเป็นองค์กรชั้นนำด้านนี้ และย่อมส่งผลต่อ ranking และความเป็น ‘international’ ขององค์กรได้เป็นอย่างดี

       ส่วนในระดับปัจเจกนั้น ผลที่เปลี่ยนแปลงอาจจะมาช้าหน่อย เนื่องจากต้องสร้างแนวปฏิบัตินี้อย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง จนเป็น “ความเคยชิน” ของผู้คนในองค์กร เคยชินถึงขนาดนำไปปฏิบัติที่บ้าน หรือข้างนอก ในการใช้ชีวิตทั่วไป ซึ่งการที่เขาเหล่านั้นจะชินและปฏิบัติแบบนี้ได้โดยไม่ต้องถูกบังคับหรือมี incentive ตอบแทนนั้น เขาจะต้องรู้สึกว่ามันทำได้โดยไม่ลำบาก และ/หรือ ทำแล้วมันดีกับอะไรยังไง เขาต้องเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำอยู่นี้ ซึ่งนี่คือจุดที่ท้าทายนโยบายนี้ของคณะฯ ว่าจะมีกลยุทธ์ในการสร้าง “จิตสำนึก” ให้กับปัจเจกได้อย่างไรบ้าง

 

ถ้าให้จินตนาการ “โลกที่ออกแบบอย่างยั่งยืน” ในอีก 20 ปีข้างหน้า คุณเห็นอะไร? และพลังของเราควรไปในทิศทางไหน?

       คำถามนี้ อาจจะมีคำตอบที่แตกต่างกันได้ 2-3 ทิศทาง ถ้าให้เดา สถาปนิกส่วนใหญ่ก็คงตอบไปในทาง การเลือกใช้เทคโนโลยี green building ต่าง ๆ ให้มากที่สุด ใช้วัสดุ recycle หรือการ reuse วัสดุ หรือการหมุนเวียนน้ำใช้ การใช้พลังงานทดแทน ฯลฯ 

แต่ถ้าให้ตอบในมุมส่วนตัวจริง ๆ คิดว่า โลกที่ออกแบบอย่างยั่งยืน คือโลกที่เรา “ลดความต้องการ” “ลดการใช้ทรัพยากร” และโลกที่ออกแบบโดย “การเข้าใจและเห็นใจธรรมชาติ” “รักษาสิทธิของธรรมชาติ ให้เท่ากับที่เรารักษาสิทธิของมนุษย์” นั่นแหละคือทางแก้ป้ญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าเราจะใช้เทคโนโลยีกรีนต่าง ๆ หรือจะรีไซเคิลมากขนาดไหน เลือกแหล่งพลังงานจากธรรมชาติได้มากขนาดไหน แต่ทั้งหมดนั้น เราก็ยังคิดภายใต้กรอบว่า “เราต้องสร้าง เราต้องมี” และการสร้างสิ่งต่าง ๆ ยังไงมันก็ทำลายธรรมชาตินั่นแหละ 

ลองคิดดูว่าทำไมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มนุษย์ก็ใช้ชีวิตแบบไม่มีเทคโนโลยี green building ไม่มีการรีไซเคิลวัสดุใด ๆ ใช้แล้วก็ทิ้งเป็นขยะไปที่ landfill ไม่มีการทำ RDF พลังงานชีวมวลอะไรทั้งนั้น ชุมชนเมือง พื้นที่เกษตร ก็สร้างแบบแผ่ขยายไปตรงนู้นตรงนี้ตามใจ แต่โลกก็ยังไม่พัง ก็เพราะเรายังมีคนน้อยกว่าตอนนี้ไง การใช้ทรัพยากรมันก็น้อยไปด้วย และยังอยู่ในอัตราที่โลกฟื้นตัวทัน แต่วันนี้ในเมื่อประชากรเรามากขึ้นไม่รู้กี่เท่า จะใช้ทรัพยากรโลกให้น้อยอย่างเมื่อก่อนก็มีทางเดียว คือ ทุกคนต้องใช้น้อยลง ต้องสร้างน้อยลง และสิ่งที่สร้างก็แน่นอนว่าต้องเป็นแนวคิด green/ sustainability เท่านั้นด้วย เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ทรัพยากรมีเท่าไหร่ก็ไม่พอสนองความต้องการของประชากรมนุษย์ในปัจจุบันอย่างแน่นอน 

       แถมท้ายอีกอย่าง หากจะดีที่สุดจริง ๆ พลังของเราควรใช้ทำงานในเชิงรุกด้วย ได้แก่ การใช้ความรู้การออกแบบ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อ “ฟื้นฟู” ธรรมชาติและระบบนิเวศด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ สถาปนิกไปทำงานด้านอนุรักษ์กันบ้าง ไม่ใช่เน้นที่การพัฒนาและใช้ green technology อย่างเดียว เปรียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเรามีน้ำอยู่ถังเดียว เราจะใช้ทีละน้อย ๆ ยังไง วันนึงมันก็ต้องหมดอยู่ดี แต่ถ้าเราใช้ทีละน้อยเท่าที่จำเป็น และเราหาน้ำมาเติมในถังด้วย เราย่อมมีน้ำใช้ไปตลอด และนั่นก็คือ “ความยั่งยืน” ที่แท้จริง